วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ความรู้วิชาศาสนา


สัญลักษณ์ของศาสนาต่าง ๆ
ภาพศาสนพิธีในศาสนาต่าง ๆ ทั่วโลก
ศาสนา (อังกฤษReligion) หมายถึง ลัทธิความเชื่อของมนุษย์ เกี่ยวกับการกำเนิดและสิ้นสุดของโลก หลักศีลธรรม ตลอดจนลัทธิพิธีที่กระทำตามความเชื่อนั้น ๆ[1] หลายศาสนามีการบรรยาย สัญลักษณ์และประวัติศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเจตนาอธิบายความหมายของชีวิต และ/หรืออธิบายกำเนิดชีวิตหรือเอกภพ จากความเชื่อของศาสนาเกี่ยวกับจักรวาลและธรรมชาติมนุษย์ คนได้รับศีลธรรม จริยศาสตร์ กฎหมายศาสนาหรือวิถีชีวิตลำดับก่อน บางการประมาณว่า มีศาสนาราว 4,200 ศาสนาในโลก[2]



















ศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์ (อังกฤษChristianityราชบัณฑิตยสถานเรียกว่า คริสต์ศาสนา[1] เป็นศาสนาประเภทเอกเทวนิยม ที่มีพื้นฐานมาจากชีวิตและการสอนของพระเยซูตามที่ปรากฏในพระวรสารในสารบบ (canonical gospel) และงานเขียนพันธสัญญาใหม่อื่น ๆ [2] ผู้นับถือศาสนาคริสต์เรียกว่าคริสต์ศาสนิกชนหรือคริสตชน
คริสตชนเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรพระเป็นเจ้า และเป็นพระเจ้าผู้มาบังเกิดเป็นมนุษย์และเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ด้วยเหตุนี้ คริสตชนจึงมักเรียกพระเยซูว่า "พระคริสต์" หรือ "พระเมสสิยาห์"[3]ศาสนาคริสต์ปัจจุบันแบ่งเป็นสามนิกายใหญ่ คือ โรมันคาทอลิก อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ และโปรเตสแตนต์ ซึ่งยังแบ่งนิกายย่อยได้อีกหลายนิกาย เขตอัครบิดรโรมันคาทอลิกและออร์ทอดอกซ์แยกออกจากกันในช่วงศาสนเภทตะวันออก-ตะวันตก (East–West Schism) ใน ค.ศ. 1054 และนิกายโปรเตสแตนต์เกิดขึ้นหลังการปฏิรูปศาสนาในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งแยกตัวออกจากคริสตจักรโรมันคาทอลิก[4]
ศาสนาคริสต์ในช่วงแรกถือเป็นนิกายหนึ่งของศาสนายูดาห์เมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 1[5][6] โดยถือกำเนิดขึ้นในชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันออกของตะวันออกกลาง (ปัจจุบัน คือ อิสราเอลและปาเลสไตน์) ไม่นานก็แผ่ขยายไปยังซีเรีย เมโสโปเตเมีย เอเชียไมเนอร์ และอียิปต์ ศาสนาคริสต์มีขนาดและอิทธิพลเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ทศวรรษ และจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 4ได้กลายมาเป็นศาสนาประจำชาติจักรวรรดิโรมัน[7] ระหว่างสมัยกลาง ดินแดนยุโรปที่เหลือส่วนมากรับศาสนาคริสต์แล้ว แต่บางภูมิภาค เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ เอธิโอเปีย และบางส่วนของอินเดีย คริสตชนยังถือเป็นศาสนิกชนกลุ่มน้อย[8][9] หลังยุคสำรวจ ศาสนาคริสต์ได้แผ่ขยายไปยังทวีปอเมริกา ออสตราเลเซีย แอฟริกาใต้สะฮารา และส่วนที่เหลือของโลกผ่านงานมิชชันนารีและการล่าอาณานิคม
คริสต์ศาสนิกชนเชื่อว่าพระเยซูคือพระเมสสิยาห์ที่พยากรณ์ไว้ในคัมภีร์ฮีบรู ซึ่งในศาสนาคริสต์เรียก "พันธสัญญาเดิม" พื้นฐานเทววิทยาศาสนาคริสต์นั้นแสดงออกมาในหลักข้อเชื่อสากล(ecumenical creed) ที่มีมาตั้งแต่ศาสนาคริสต์ยุคแรก และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในบรรดาคริสต์ศาสนิกชน การประกาศความเชื่อนี้มีอยู่ว่า พระเยซูทรงรับพระทรมาน สิ้นพระชนม์ และถูกฝังไว้ ก่อนจะคืนพระชนม์เพื่อให้ชีวิตนิรันดร์แก่ผู้ที่เชื่อในพระองค์และไว้วางใจว่าพระองค์เป็นผู้ไถ่บาป[10] พวกเขายังเชื่ออีกว่าพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ที่ซึ่งพระองค์ทรงควบคุมและปกครองรวมกับพระเจ้าพระบิดา นิกายส่วนใหญ่สอนว่าพระเยซูจะกลับมาพิพากษามนุษย์ทุกคน ทั้งคนเป็นและคนตาย และให้ชีวิตนิรันดร์แก่สาวกของพระองค์[11] พระองค์ทรงถูกมองว่าเป็นแบบอย่างของชีวิตอันดีงาม และเป็นทั้งผู้เผยพระวจนะและเป็นพระเจ้าลงมารับสภาพมนุษย์[12]
ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 ศาสนาคริสต์มีศาสนิกชนประมาณ 2.4 พันล้านคนทั่วโลก[13][14] คิดเป็นประมาณ 33% หรือหนึ่งในสี่ถึงหนึ่งในสามของประชากรโลก และเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลก[15][16] ทั้งยังเป็นศาสนาประจำชาติในหลายประเทศ

ศาสนาพุทธ
พระพุทธศาสนา หรือ ศาสนาพุทธ (บาลีbuddhasāsana พุทฺธสาสนาสันสกฤตbuddhaśāsana พุทธศาสนา) เป็นศาสนาที่มีพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา มีพระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง และตรัสสอนไว้เป็นหลักคำสอนสำคัญ มีพระสงฆ์ (ภิกษุ ภิกษุณี) สาวกผู้ตัดสินใจออกบวชเพื่อศึกษาปฏิบัติตนตามคำสั่งสอน ธรรม-วินัย ของพระบรมศาสดา เพื่อบรรลุสู่จุดหมายคือพระนิพพาน และสร้างสังฆะ เป็นชุมชนเพื่อสืบทอดคำสอนของพระบรมศาสดา รวมเรียกว่า พระรัตนตรัย1 นอกจากนี้ในพระพุทธศาสนา ยังประกอบคำสอนสำหรับการดำรงชีวิตที่ดีงาม สำหรับผู้ที่ยังไม่ออกบวช (คฤหัสถ์ - อุบาสก และอุบาสิกา) ซึ่งหากรวมประเภทบุคคลที่ที่นับถือและศึกษาปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา แล้วจะจำแนกได้เป็น 4 ประเภท คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา หรือที่เรียกว่า พุทธบริษัท 4
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอเทวนิยม ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเป็นเจ้าหรือพระผู้สร้าง และเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ ว่าทุกคนสามารถพัฒนาจิตใจ ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ ด้วยความเพียรของตน กล่าวคือ ศาสนาพุทธ สอนให้มนุษย์บันดาลชีวิตของตนเอง ด้วยผลแห่งการกระทำของตน ตาม กฎแห่งกรรม มิได้มาจากการอ้อนวอนขอจากพระเป็นเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกกาย[1] คือ ให้พึ่งตนเอง[2] เพื่อพาตัวเองออกจากกอง ทุกข์[3] มีจุดมุ่งหมายคือการสอนให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงในโลกด้วยวิธีการสร้าง ปัญญา ในการอยู่กับความทุกข์อย่างรู้เท่าทันตามความเป็นจริงวัตถุประสงค์สูงสุดของศาสนาคือการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงและวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด เช่นเดียวกับที่พระศาสดาทรงหลุดพ้นได้ด้วยกำลังสติปัญญาและความเพียรของพระองค์เอง ในฐานะที่พระองค์ก็ทรงเป็นมนุษย์ มิใช่เทพเจ้าหรือทูตของพระเจ้าองค์ใด[4]
พระพุทธเจ้า พระองค์ปัจจุบันคือพระโคตมพุทธเจ้า มีพระนามเดิมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ได้ทรงเริ่มออกเผยแผ่คำสอนในชมพูทวีป ตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่หลังปรินิพพานของพระพุทธเจ้า พระธรรมวินัยที่พระองค์ทรงสั่งสอน ได้ถูกรวบรวมเป็นหมวดหมู่ด้วยการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรก[5] จนมีการรวบรวมขึ้นเป็นพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตลอดของฝ่าย เถรวาท ที่ยึดหลักไม่ยอมเปลี่ยนแปลงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่ในการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่สอง ได้เกิดแนวคิดที่เห็นต่างออกไป[6] ว่าธรรมวินัยสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตามเวลาและสถานการณ์เพื่อความอยู่รอดแห่งศาสนาพุทธ[7] แนวคิดดังกล่าวจึงได้เริ่มก่อตัวและแตกสายออกเป็นนิกายใหม่ในชื่อของ มหายาน ทั้งสองนิกายได้แตกนิกายย่อยไปอีกและเผยแพร่ออกไปทั่วดินแดนเอเชียและใกล้เคียง บ้างก็จัดว่า วัชรยาน เป็นอีกนิกายหนึ่ง แต่บ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของนิกายมหายาน แต่การจัดมากกว่านั้นก็มี[8] หลักพื้นฐานสำคัญของปฏิจสมุปบาท เป็นเพียงหลักเดียวที่เป็นคำสอนร่วมกันของคติพุทธ[9]
ปัจจุบันศาสนาพุทธได้เผยแผ่ไปทั่วโลก โดยมีจำนวนผู้นับถือส่วนใหญ่อยู่ในทวีปเอเชีย ทั้งในเอเชียกลาง เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันศาสนาพุทธ ได้มีผู้นับถือกระจายไปทั่วโลก ประมาณ 700 ล้านคน[10][11][12] ด้วยมีผู้นับถือในหลายประเทศ ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาสากล







วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บัญชี้เว็บบล็อคของเพื่อน

บล็อคของเพือน

ธนกร  ช่างพานิช

คณาพจน์  โชติกเสถียร

ธีรพงค์  เฮงไชโย

อาณกร  พรมเเสง

ณิชาพร สุขเกษมทอง

ธิดารัตน์ ธารีสัตย์

พิมพ์ญาดา โทนทะ

ณัฐวุฒิ จันทวงศ์

เขมจิรา ศรศิลป์

ธนพล เปรมเดช

ระพีพัฒน์ เปรมเดช

กิตติพงษ์ รอดคลองตัน

พันธุ์สุนทร คัมภิรานนท์

ตรัยรัตน์ ชุนถนอ

ชนิภรณ์ ศรีสวัสดิ์ธารา

อารียา รัตนพิทักษ์

อัยลดา สวางพื้น

นิชาภัทร บุตรน้ำเพชร

ปัญฑิตา เบิกบาน

นิติพงษ์ คลังนาค

พรเทพ ขุนวิจาร

อินทัช ศิระสวัสดิ์

ปนัดดา เส็งสาย

กรกมล จักรแก้ว


ชาคร เตี่ยบัวแก้ว


สุญาดา ประจวบวัน


จิรวัฒน์ พันธ์สวัสดิ์


วรารัตน์ เย็นใจ


ธนดล วงค์วาลย์


ธิดาเทพ มะลิทอง


อริสา วัดวงค์
ด.ช.
หญิง
หญิงอริสา วัดวงค์
อนวัช คล้ำมณ๊
สุวภัทร ทองศรี
ศิวกร ภู่ระหงษ์
.ภูชิต ดวงดี
ปนัดดา เล่นวารี
เด็ก
เด็ก
เด็กชาย
ด.ญ.
ด.ช.
ด.ช
พบพร โฆษิตวรวุฒิ
สุกนต์ธี อินทร์มณี
สุกนต์ธี อินทร์มณี
ณัฐดนัย ปานประทีป
ศูภณัฐ พระแก้ว
ทรรศนพล พงค์ทอง
สิทธิชัย คำเงิน
บูรพา สินคง
กรดนัย จิตต์ระเบียบ
เฉลิมพงษ์ เถาโต
อิสริยยศ กุลจิตติอภิญญา
กฤตภาส คำโมรี

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ความรู้วิชา.คณิตศาสตร์


เเบ่งครึ่งเส้นตรง
สร้างเส้นตั้งฉาก
เเบ่งเส้นตรงออกเป็น4ส่วน




สร้างสามเหลี่ยม












ความรู้วิชา.ภาษาจีน


สระภาษาจีน
อาชีพ
    





ตัวเลขจีน พินอิน คำอ่าน ตัวเลข
零 líng หลิง 0 ศูนย์
一 yī อี 1 หนึ่ง
二 èr เอ้อ 2 สอง
三 sān ซาน 3 สาม
四 sì ซื่อ 4 สี่
五 wǔ อู่ 5 ห้า
六 liù ลิ่ว 6 หก
七 qī ชี 7 เจ็ด
八 bā ปา 8 แปด
九 jiǔ จิ่ว 9 เกา้
十 shí สือ 10 สิบ

ความรู้วิชา.ประวัติศาสตร์

สมัยสุโขทัย
มหากษัตริย์สืบต่อมารวม  9  พระองค์  ตลอดเวลาเกือบ  200  ปี  ดังนี้
รัชกาลที่
พระนาม
ปีที่ขึ้นครองราชย์  (พ.ศ.)
ปีที่สวรรคต  (พ.ศ.)
1
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
1792
ไม่ปรากฏ
2
พ่อขุนบานเมือง
ไม่ปรากฏ
1822
3
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
1822
1841
4
พระยาเลอไทย
1841
ไม่ปรากฏ
5
พระยางั่วนำถุม
ไม่ปรากฏ
1890
6
พระมหาธรรมราชาที่ 1  (ลิไทย)
1890
1911
7
พระมหาธรรมราชาที่ 2
1911
1942
8
พระมหาธรรมราชาที่ 3  (ไสยลือไทย)
1942
1962
9
พระมหาธรรมราชาที่ 4  (บรมปาล)
1962
1981
รัชกาลที่ 1   พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
ตำนานพระพุทธสิหิงค์  กล่าวว่า  เป็นชาวเมืองนครชุม  (กำแพงเพชร)   ก่อนที่จะขึ้นครองราชย์นั้น  ศิลาจารึกระบุว่ามาจากเมืองบางยาง  และเป็นพระสหายกับ
พ่อขุนผาเมือง    พระราชกรณียกิจที่สำคัญ  ได้แก่
                               การขยายอาณาเขต     ในระยะเริ่มต้นอาณาจักรในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์นั้น  มีอาณาเขตไม่กว้างขวางนัก  มีเมืองสุโขทัยกับเมืองศรีสัชนาลัย (เมืองสวรรคโลกเก่า)  เป็นราชธานีทั้งสองเมือง  นอกจากนี้ก็มีหัวเมืองขึ้นทางริมลำน้ำปิง  ยม  น่าน  เพียงไม่กี่เมือง
                             เมื่ออาณาจักรสุโขทัยได้รับการสถาปนาขึ้นมาเป็นอิสระจากขอมได้นั้น  เจ้าเมืองต่างๆ  ในดินแดนใกล้เคียงกับสุโขทัยยอมรับในความสามารถของผู้นำสุโขทัย  จึงอ่อนน้อมโดยสันติรวมอยู่กับอาณาจักรสุโขทัย  แต่เจ้าเมืองบางเมืองคิดว่าตนมีอนาจเข้มแข็งพอ  จึ่งมิได้อ่อนน้อมต่อกรุงสุโขทัย  และก่อสงครามขึ้นเพื่อแข่งขันการมีอำนาจ  ในบรรดาเจ้าเมืองประเภทหลังนี้ ปรากฏว่าขุนสามชน  เจ้าเมืองฉอด  (เมืองฉอดปัจจุบันเป็นเมืองร้าง  อยู่ที่ด่านแม่สอดทางทิศตะวันตกของจังหวัดตาก)  ได้ยกทัพมาตีเมืองตากอันเป็นเมืองในอาณาเขตของสุโขทัย  พ่อาขุนศรีอินทราทิตย์จึงยกทัพไปปราบ  เกิดสงครามครั้งสำคัญขึ้น  ในการรบครั้งนี้พระราชโอรสองค์เล็ก  ซึ่งมีชันษา  19  ปี  ได้เข้าชนช้างกับขุนสามชนจนได้รับชัยชนะ  ทำให้กองทัพเมืองฉอดแตกพ่ายไป  พ่อขุนศรีอินทราทิตย์จึงประทานนามพระราชโอรสว่า  พระรามคำแหง  เพื่อเป็นการบำเหน็จ  ศึกครั้งนี้ทำให้เกียรติยศชื่อเสียงของพระโอรสแผ่ไปทั่ว
                           นับแต่นั้นมาพระรามคำแหงได้เป็นกำลังสำคัญของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ในการทำศึกสงคราม  สร้างกำลังรบให้สุโขทัยเข้มแข็งพอที่จะป้องกันตนและปราบศัตรูได้ราบคาบ  เป็นผลดีแก่อาณาจักร  คือ  มีความมั่นคง  และมีอำนาจทางการเมืองเหนืออาณาจักรอื่นๆ  และเป็นรากฐานให้ชาติบ้านมีความเจริญก้าวหน้าสืบต่อมา
                          การปกครอง    พ่อขุนศรีอินทราทิตย์จัดระเบียบการปกครองยึดนโยบายการป้องกันประเทศเป็นสำคัญ  แต่คำนึงถึงสิทธิหน้าที่ของประชาชนพลเมือง  โดยปกครองประชาชนในฐานะบิดากับบุตร  ทั้งบิดาและบุตรมีหน้าที่เป็นทหารป้องกันประเทศในยามสงคราม  แต่ยามสงบพระมหากษัตริย์เป็นผู้นำในการบริหารราชการแผ่นดิน  ด้วยการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎร  ราษฎรมีหน้าที่รับใช้ชาติบ้านเมืองของตน  โดยการประกอบอาชีพให้มีรายได้และเสียภาษีอากรให้แก่รัฐ
รัชกาลที่ 2  พ่อขุนบานเมือง
                        พระราชโอรสองค์ใหญ่สของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์   ขึ้นครองราชย์ปีใดไม่ปรากฏ  ระหว่างครองราชย์ได้รวบรวมหัวเมืองต่างๆ ไว้ในอำนาจ  โดยมีพระอนุชาคือ  พระรามคำแหง  เป็นกำลังสำคัญ
รัชกาลที่ 3  พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
                      พระราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์   พระอนุชาของพ่อขุนบานเมือง  ขึ้นครองราชย์ประมาณ พ.ศ. 1822   ในรัชกาลพ่อขุนรามคำแหง   กรุงสุโขทัยมีการเปลี่ยนแปลงและเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าไปจากเดิมมาก  เป็นต้นว่ามีการปกครองเข้มแข็ง ใกล้ชิดราษฎรไพร่ฟ้าประชาชนมีความอยู่ดีกินดี  มีการนำชลประทานมาใช้ทางการเกษตร  ทำให้ได้ผลดีขึ้น  การอุตสาหกรรมมีความก้าวหน้า  มีการติดต่อค้าขายกับต่างปรเทศ  การเศรษฐกิจ  และการเมืองมั่งคง  ทำให้มีอำนาจทางการเมืองแผ่ไปกว้างใหญ่ไพศาล  จนได้รับการเทิดพระเกียรติด้วยพระนามว่า  พ่อขุนรามคำแหงมหาราช   ในภายหลังพระราชกรณียกิจของพระองค์ที่ควรนำมากล่าวมีดังนี้
1.               ทรงเป็นนักรบ      พระองค์ทรงชนช้างชนะขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์  ทรงเข้มแข็งในการศึกสงคราม  ทรงเป็นแม่ทัพไปปราบเมืองต่างๆ  ในรัชกาล
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์และพ่อขุนบานเมือง  จนเป็นที่เกรงขามของอาณาจักรอื่นๆ  เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์มีหลายเมืองที่ยอมอ่อนน้อมโดยพ่อขุนรามคำแหงมิได้ส่งกองทัพไปรบ  ได้แก่  เมืองหงสาวดี  เมืองสุพรรณภูมิ  (สุพรรณบุรี)    เมืองราชบุรี   เมืองเพชรบุรี   เมืองหลวงพระบาง   เมืองเวียงจันทร์  และเมืองนครศรีธรรมราช  เป็นต้น  ทำให้มีอาณาเขตแผ่ออกไปกว้างขวางมาก  คือ
                  ทิศเหนือ    มีอาณาเขตครอบคลุมาเมืองแพร่  น่าน  ปัว  ถึงเมืองหลวงพระบาง
                  ทิศใต้         มีอาณาเขตครอบคลุมเมืองคณฑี (กำแพงเพชร)    พระบาง (นครสวรรค์)    แพรก (ชัยนาท)   สุพรรณภูมิ   ราชบุรี   เพชรบุรี  จดฝั่งทะเลสุดเขตแหลมมลายู
                  ทิศตะวันออก      มีอาณาเขตครอบคลุมเมืองสระหลวง  สองแคว (พิษณุโลก)     ลุมบาจาย (หล่มเก่า)    สคา  และข้ามฝั่งแม่น้ำโขงไปถึงเมืองเวียงจันทร์และเวียงคำ
                  ทิศตะวันตก     มีอาณาเขตถึงเมืองฉอด   ทวาย   ตะนาวศรี   หงสาวดี   และชายฝั่งทะเล
2.               ทรงอุปการะเกื้อกูลเมืองที่ขอพึ่งบารมี       เมืองใดที่มาขอพี่งพระบรมโบธิสมภารหรือยอมอ่อนน้อมโดยดี  ทรงช่วยเหลืออุปการะ  พระราชทานข้าวของเงินทองและไพร่
พล   ช้าง  ม้า  เมืองใดที่ยอมเป็นประเทศราช   ทรงใช้หลักธรรมในการปกครอง   เพื่อให้ประชาชนพลเมืองอยุ่เย็นเป็นสุข   บางเมืองที่เป็นของคนไทยและมิได้เป็นภัย  ก้มิได้รุกราน  เช่น    เมืองแพร่    เมืองน่าน   แม้แต่เมืองละโว้ก็ยังคงเป็นอิสระอยู่ได้
3.               ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1826      ทำให้ไทยมีตัวหนังสือประจำชาติ  มีความเจริญรุ่งเรืองทางวรรณกรรม   ก่อให้เกิดวรรณคดีล้ำค่าสืบมา
4.               ทรงเป็นองค์พุทธศาสนูปถัมภก      ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาสืบต่อจากรัชกาลก่อน   โดยนิมนตร์พระภิกษุที่เคร่งครัดในทางพระวินัยและพระปรมัตถ์จากเมือง
นครศรีธรรมราชมาเป็นผู้สั่งสอน  เพื่อให้พระพุทธศาสนาเป็นแบบเดียวกัน  คือ  แบบเถรวาท   หรือ  หินยาน    พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทหรือหินยานได้เป็นมรดกตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน
5.               ทรงเป็นนักปกครองที่เข้าถึงประชาชน        ทรงเป็นผู้นำสร้างชาติให้มั่นคงเป็นแบบอย่างต่อมาคือ  การใกล้ชิดประชาชน  ผู้ใดเดือดร้อนต้องการร้องทุกข์ขอควา
ช่วยเหลือให้เข้าไปสั่นกระดิ่งที่แขวนไว้ที่หน้าประตูวัง  จะเสด็จออกมารับเรื่องร้องทุกข์ด้วยพระองค์เอง  จึงทำให้บ้านเมืองสงบร่มเย็นเป็นสุข
6.               ทรงมีนโยบายอุปถัมภ์หัวเมืองต่างๆ       ทรงให้ความอุปถัมภ์สนับสนุนหัวเมืองตามโอกาสเป็นต้นว่า  ยกพระราชธิดาให้เป็นมเหสีของ  มะกะโท  (พระเจ้าฟ้ารั่ว)  ผู้นำ
อาณาจักรมอญซี่งเข้ามาสวามิภักดิ์   นอกจากนี้ยังช่วยเหลือหัวเมืองในการสร้างบ้านสร้างเมือง  ด้วยความยุติธรรมเสนอภาคกัน  ทำให้ผู้ครองเมืองต่างๆ  สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ  ไม้กล้าล่วงละเมิดอำนาจพากันเป็นมิตรไมตรี  ไม่รุกรานอาณาจักรสุโขทัย โดยเฉพาะทรงเป็นมิตรสนิทกับพ่อขุนมังรายแห่งอาณาจักรล้านนา  ทำให้ปราศจากศึกศัตรูทางทิศเหนือ

รัชกาลที่ 4    พระยาเลอไทย
                        พระราชโอรสของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช  ครองราชย์ประมาณ  40  ปี   พระยาเลยไทยทรงศรัทธาในพระพุทธศาสนา  ทรงศึกษาพระไตรปิฎกจนแตกฉาน  มุ่งปฎิบัติจนแตกฉาน  มุ่งปฏิบัติธรรม  บำเพ็ญประโยชน์เกื้อกูลพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง  การศึกษาพระธรรมและภาษาบาลีได้เริ่มขึ้นและเจริญก้าวหน้าในรัชกาลนี้
รัชกาลที่ 5  พระยางั่วนำถม
                       พระอนุชาของพระยาเลอไทย  เมื่อราชาภิเษกแล้วได้ทรงแต่งพระยาลิไทย (พระราชโอรสของพระยาเลอไทย)   ไปปกครองเมืองศรีสัชนาลัย  อันเป็นเมืองที่ถือว่ารัชทายาทแห่งราชบัลลังกืจะพึงครองก่อนเป็นพระมหากษัตริย์  ในรัชกาลนี้ได้มีการปราบปรามเมืองต่างๆ  ที่แข็งเมืองมาตั้งแต่รัชกาลพระยาเลอไทยแต่ไม่สำเร็จ  ทั้งยังไม่สามารถแก้ไขความเสื่อมโทรม  และความแตกแยกภายในได้  ตอนปลายรัชกาลจึงเกิดจลาจลขึ้น  พระยาลิไทยองค์รัชทายาทจึงยกกำลังจากเมืองศรีสัชนาลัย  เข้าเมืองสุโขทัยเพื่อปราบจลาจล
รัชกาลที่ 6   พระมหาธรรมราชาที่ 1   (ลิไทย)
                       พระราชโอรสของพระยาเลอไทย  (รัชกาลที่ 4)   หลังจากปราบการจลาจลในกรุงสุโขทัยได้สำเร็จ  และขึ้นครองราชยืแล้วทรงพิจารณาเห็นว่า  เกิดความแตกแยกและขาดความไว้วางใจกันในอาณาจักร  จึงทรงริเริ่มรวบรวมกำลังอำนาจ   สร้างความสามัคคีเพื่อพัฒนาบ้านเมืองใหม่  ทำให้สุโขทัยเข้มแข็งขึ้น  พระราชกรณียกิจที่สำคัญ  ได้แก่
1.               การปกครอง      พระมหาธรรมราชาที่ 1  (ลิไทย)    ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ปกครองประชาชนในฐานะธรรมราชาหรือพระราชาผู้ทรงธรรม   ทรงยึดมั่นใน
หลักธรรมของพระพุทธศาสนาในการปกครองบ้านเมืองคือ   ทรงปกครองด้วยหบักทศพิธราชธรรม   ซึ่งมิได้มุ่งเน้นที่พระมหากษัตริย์เท่านั้น  แต่หมายรวมถึงข้ารราชบริพาร  ที่ทำหน้าที่แทนพระองค์ในกิจการทั้งหลายอันเกี่ยวกับการปกครอง  มีการชักชวนสงเสริมให้ประชาชนเลื่อมใสศัทธาในหลักธรรมและนำไปปฏิบัติเพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
2.               การป้องกันอาณาจักร     ใน  พ.ศ.  1893    เมืองสุพรรณภูมิและเมืองละโว้ (ลพบุรี)    ได้รวมกันตั้งอาณาจักรอยุธยาขึ้น   มีพระเจ้าอู่ทองเป็นกษัตริย์ประกาศเป็น
อาณาจักรอิสระไม่ขึ้นต่อสุโขทัย  และเมืองลาว  ก็ได้ขยายอาณาเขตเข้ามาจดแดนของอาณาจักรสุโขทัย   ทรงตระหนักในภัยที่อาจเกิดขั้นได้    จึงได้รวบรวมหัวเมืองต่างๆ  ผนึกกำลังรักษาบ้านเมืองไว้ได้อย่างปลอดภัย  นอกจากนี้พระองค์พยายามฟื้นฟูอาณาจักรสุโขทัยให้เป็นที่ยอมรับของอาณาจักรใกล้เคียง  ด้วยการสร้างกำลังกองทัพทำศึกสงครามมยกทัพไปตีเมืองแพร่    และปราบหัวเมืองต่างๆ  อาณาเขตของสุโขทัยในสมัยของพระองค์ลดลงจากสมัยพ่อขุนรามคำแหงมากกว่าครี่ง  มีอาณาเขตดังนี้
                                                  ทิศเหนือ      ถึงเมืองแพร่
                                                  ทิศใต้        ถึงเมืองพระบาง   โดยมีเมืองชากังลาว   เมืองปากยม   เมืองนครพระชุทม    เมืองสุพรรรณภาว    และเมืองพานร่วมาอยู่ด้วย
                                                  ทิศตะวันออก     ถึงแดนอาณาจักรล้านช้างโดยมีเมืองสระหลวง   เมืองสองแคว   เมืองราด   เมืองลุมบาจาย   และเมืองสคารวมอยู่ด้วย
                                                  ทิศตะวันตก    ถึงเมืองฉอด
3.               เศรษฐกิจ        ด้วยเหตุที่อาณาจักรอยุธยาและเมืองลาว   มีกำลังอำนาจเข้มแข็ง   อาจขยายอำนาจและอาณาเขตเข้ามาในอาณาจักรสุโขทัย  จำเป็นต้องสะสมเสบียง
อาหาร  จึงทำนุบำรุงการประกอบอาชีพโดยเฉพาะทางการเกษตรกรรม   ได้มีการขยายพื้นที่การทำกินของราษฎรเพิ่มขึ้น   มีการตัดถนนจากเมืองสองแควไปถึงเมืองสุโขทัย   เพื่อใช้ในการคมนาคม   และใช้พื้นที่สองฟากถนนทำสวนผักผลไม้  ทำไร่  ทำนา เป็นการเพิ่มผลผลิต  เมื่อไม่เกิดสงครามจึงเป็นผลดีในทางเศรษฐกิจของอาณาจักร
4.               ศาสนา      ทรงศรัทธาพระพุทธศาสนามาก   พระองค์ทรงผนวชอยู่หนึ่งพรรษา   โดยทรงอาราธนาพระมหาสามัสังฆราชชาวลังกา  ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่เมืองนครพัน
(ปัจจุบันคือ  เมทืองเมาะตะมะ  หรือมะตะบัน)   มาเป็นพระอุปัชฌาย์ในการผนวชของพระองค์  พระองค์ทรงบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง  มีการสร้างพระพุทธบาทโดยจำลองรอยพระพุทธบาทมาจากประเทศลังกา   สร้างสถูปเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่เมืองนครชุม   และสร้างศาสนสถานอื่นๆ เป็นการชักชวนให้ประชาชนจากเมืองต่างๆ   มานมัสการสถานศักดิ์สิทธิ์ที่พระองค์สร้างขึ้น  ช่วยให้ประชาชนเลื่อมใสศรัทธา  และง่ายแก่การเผยแผ่ปฏิบัติธรรมะ  ส่งผลให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
5.               วรรณคดี      ทรงนิพนธ์หนังสือ   เตภูมิกถา (เตภูมิกถา  หรือ  ไตรภูมิพระร่วง)   หนังสือเล่มนี้  จัดเป็นวรรณคดีล้ำค่าที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน  พระองค์ทารงนิพนธ์
เพื่อนนำหลักธรรมของพระพุทธศาสนามาเผยแผ่เพื่อประพฤติปฏิบัติ  เป็นการปลูกฝังธรรมะให้ประชาชนรู้จักประพฤติในทางที่ชอบและดีงาม  มีการนำสวรรค์และนรกมาแสดงเป็นรูปธรรมเพื่อให้ประชาชนเห้นผลของการประพฤติดี  ประพฤติชั่ว  ปรากฏว่ามีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนมาก
รัชกาลที่ 7   พระมหาธรรมราชาที่ 2
                       พระราชโอรสของพระมหาธรรมราชาที่ 1  (ลิไทย)    เหตุการณ์สำคัญในรัชกาลนี้ คือ  กรุงสุโขทัยได้ตกเป็นเมืองประเทศราชของอาณาจักรอยุธยา ใน พ.ศ. 1921    ขณะที่พระมหาธรรมราชาที่ 2   ขึ้นครองราชย์นั้น  พระบรมราชาธิราชที่ 1   (ขุนหลวงพะงั่ว)  แห่งอาณาจักรอยุธยา  มีพระราชประสงค์จะรวมชนชาติไทยให้เป็นปึกแผ่นเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรเดียวกัน  จึงยกทัพรุกรานอาราจักรสุโขทัยหลายครั้ง  ครั้งสำคัญ  คือ  ใน  พ.ศ.  1921  ได้ยกไปตีเมืองชากังราวพระมหาธรรมราชาที่ 2  ทรงเห็นว่า  จะสู้รบต่อไปไม่ได้จึงยอมอ่อนน้อมต่ออยุธยา  พระบรมราชาธิราชที่ 1  (ขุนหลวงพะงั่ว)   จึงโปรดให้ครองสุโขทัยต่อไปในฐานะเมืองประเทศราช  จนกระทั่งถึง พ.ศ. 1931   สุโขทัยจึงประกาศตนเป็นอิสระจากอยุธยา
รัชกาลที่ 8  พระมหาธรรมราชาที่ 3      (ไสยลือไทย)
                      พระราชโอรสของพระมหาธรรมราชาที่ 2   ในรัชสมัยนี้พระองค์ได้ทำสัญญากับเจ้าเมืองน่าน  ที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกั้นเมื่อถูกอาณาจักรอื่นรุกราน  สุโขทัยาจึงมีความสงบในระยะเวลาหนึ่ง
                      พระองค์ทรงมีพระราชโอรส 2   พระองค์  คือ  พระยาบาลเมือง  กับ  พระยาราม  แต่มิได้ทรงแต่งตั้งให้พระองค์ใดเป็นรัชทายาท  ดังนั้นเมื่อเสด็จสวรรคต  พระยาบาลเมือง  กับพระยาราม  จึงชิงราชสมบัติกันเป็นโอกาสให้สมเด็จพระอินทราชา  แห่งอาณาจักรอยุธยา  เสด็จมาระงับการจลาจล  และไกล่เกลี่ยการแย่งชิงราชสมบัติครั้งนี้  ทารงอภิเษกให้พระยาบาลเมืองสงบเรียบร้อย  พระอินทรราชาทรางขอพระราชธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 3  อภิเษกสมรสกับเจ้าสามพระยาพระราชโอรสของพระองค์  นับเป็นครั้งแรกที่ราชวงศ์พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัยกับราชวงศ์สุพรรณภูมิแห่งกรุงศรีอยุธยามีความเกี่ยงดองเป็นเครือญาติกัน
รัชกาลที่ 9  พระมหาธรรมราชาที่ 4  (บรมปาล)
                        พระยาบาลเมืองได้รับการอภิเษกให้ครองกรุงสุโขทัย  (ในฐานะปรแทศราชของอยุธยา)   ทารงพระนามว่า  พระเจ้าสุริยวงศ์บรมปาลมหาธรรมราชา   นับว่าพระองค์ได้ทรงเป็นพระมหาธรรมราชาที่ 4  ต่อจากพระราชบิดา (พระมหาธรรมราชาที่ 3)
                       เมื่อพระองค์สวรรคตใน  พ.ศ. 1981   สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่  2   (เจ้าสามพระยา)   แห่งกรุงศรีอยุธยา  ได้ทรงส่งพระราเมศวร  (พระราชโอรสซึ่งประสูติจากพระอัครชายาที่เป็นพระธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 3)    ขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก  ซี่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรสุโขทัย   ทำให้อาณาจักรสุโขทัยรวมกับอาณาจักรอยุธยาเป็นอาณาจักรเดียวกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  และนับเป็นการสิ้นสุดของอาณาจักรสุโขทัย